องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ

Sisaket Provincial Administrative Organization

ข้อมูล

ปฏิทินกิจกรรม

ผู้ดูแลระบบ

ประวัติ อบจ.

กำเนิด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)

 

 องค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่จัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498 มีฐานะเป็นนิติบุคคลและครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัด

กว่าจะมาเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่มีโครงสร้างการบริหารงานในรูปแบบปัจจุบัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้มีการวิวัฒนาการมาตามลำดับ โดยเกิดจากการจัดตั้งสภาจังหวัด ขึ้นเป็นครั้งแรก ตามความในพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ.2476 ซึ่งมีฐานะเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือแนะนำแก่กรมการจังหวัด โดยยังมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากราชการบริหารส่วนภูมิภาค

ต่อมา ได้มีการตราพระราชบัญญัติสภาจังหวัด พ.ศ. 2481 ขึ้น โดยมีความประสงค์ที่จะแยกกฎหมายที่เกี่ยวกับสภาจังหวัดไว้โดยเฉพาะ แต่สภาจังหวัดยังทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาของกรมการจังหวัดเช่นเดิม จนกระทั่ง ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบบริหารราชการในจังหวัดของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ทำให้อำนาจของกรมการจังหวัด เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดดังนั้น ผลแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ ทำให้สภาจังหวัดมีฐานะเป็นสภาที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย ต่อมาได้เกิดแนวความคิดที่จะปรับปรุงบทบาทของสภาจังหวัด ให้มีประสิทธิภาพและให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตนเองยิ่งขึ้น “องค์การบริหารส่วนจังหวัด” จึงเกิดขึ้น ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 ซึ่งกำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกจากจังหวัด ซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาค และประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทว่าด้วยการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ได้กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีฐานะเป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง ทั้งนี้อาจแบ่งวิวัฒนาการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

 

ยุคสภาจังหวัด (ระหว่าง พ.ศ. 2476 - 2498)

นับตั้งแต่พ.ศ. 2476 ที่ได้มีการจัดตั้งสภาจังหวัดขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 ซึ่งนับเป็นจุดกำเนิดและรากฐานขององค์การบริหารส่วนจังหวัด อาจกล่าวโดยสรุปถึงฐานะ อำนาจหน้าที่บทบาทของสภาจังหวัดได้ในขณะนั้นยังไม่ได้มีฐานะเป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่น และ เป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากราชการบริหารส่วนภูมิภาค ตามกฎหมายจึงเป็นเพียงองค์กรตัวแทนประชาชนรูปแบบหนึ่งที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่จังหวัด ซึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2476 กำหนดให้จังหวัดเป็นหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค โดยอำนาจการบริหารงานในจังหวัดอยู่ภายใต้การดำเนินงานของกรมการจังหวัด ซึ่งมีข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นประธานสภาจังหวัด มีบทบาทเป็นเพียงที่ปรึกษาเกี่ยวกับกิจการของจังหวัดแก่คณะกรรมการจังหวัด แต่กรมการจังหวัดไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามเสมอไป

กระทั่งในปี พ.ศ. 2495 ได้มีการตราพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าปกครองราชการในจังหวัด สภาจังหวัดจึงเปลี่ยนบทบาท จากสภาที่ปรึกษาของกรมการจังหวัดมาเป็นสภาที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด สำหรับอำนาจหน้าที่ของสภาจังหวัด มาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติสภาจังหวัดพ.ศ.2481 ได้กำหนดให้สภาจังหวัดมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. ตรวจและรายงานเรื่องงบประมาณที่ทางจังหวัดตั้งขึ้น และสอบสวนการคลังทางจังหวัดตามระเบียบซึ่งจะได้มีกฎกระทรวงกำหนดไว้
2. แบ่งสรรเงินอุดหนุนของรัฐบาลระหว่างบรรดาเทศบาลในจังหวัด
3. เสนอข้อแนะนำและให้คำปรึกษาต่อคณะกรรมการจังหวัดในกิจการจังหวัด ดังต่อไปนี้
3.1 การรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
  3.2 การประถมศึกษาและอาชีวศึกษา
3.3 การป้องกันโรค การบำบัดโรค การจัดตั้ง และบำรุงถานพยาบาล
3.4 การจัดให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำ
3.5 การกสิกรรมและการขนส่ง
3.6 การเก็บภาษีอากรโดยตรง ซึ่งจะเป็นรายได้ส่วนจังหวัด
3.7 การเปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และเขตเทศบาล
3.8 ให้คำปรึกษาในกิจการที่กรมการจังหวัดร้องขอ

สำหรับพระราชบัญญัติสภาจังหวัด พ.ศ.2481 นี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2485 และ พ.ศ. 2487

 

ยุคก่อกำเนิด...องค์การบริหารส่วนจังหวัด (ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 - 2540)

เนื่องจากพระราชบัญญัติสภาจังหวัด พ.ศ. 2481 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ให้สภาจังหวัดเป็นเพียงที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ขาดอำนาจหน้าที่และกำลังเงินที่จะทำนุบำรุงท้องถิ่น ดังนั้น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 จึงได้กำหนดให้มีองค์การบริหารส่วนจังหวัดขึ้น มีฐานะเป็นนิติบุคคล และต่อมาได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด จนถึงปัจจุบันอีก 10 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2499 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 73 ตอนที่ 16 หน้า 122 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2499 โดยยกเลิกความที่ว่าด้วยรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในมาตรา 40 ของร่างพระราชบัญญัติเดิม และให้ใช้ความใหม่แทนซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน
ครั้งที่ 2 พะราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2499 ให้ไว้ ณ วันที่ 17 มกราคม 2500 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 74 ตอนที่ 11 หน้า 307 ลงวันที่ 29 มกราคม 2500 โดยปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติ ให้มีบทบัญญัติว่าด้วยการปิดประชุมก่อนครบกำหนดสมัยประชุม การจัดแบ่งการบริหารราชการของจังหวัด การให้สิทธิที่จะไม่ตอบคำสอบถามแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด การให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการสั่งเพิกถอนมติ ซึ่งไม่ใช่ข้อบัญญัติจังหวัด การให้อำนาจเกี่ยวกับกิจการของจังหวัด การให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยในการวางระเบียบเกี่ยวกับการพาณิชย์ และกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสมาชิกภาพแห่งสมาชิกสภาจังหวัดประเภท ๒ ซึ่งสมควรกำหนดเวลาสิ้นสุดไว้
ครั้งที่ 3 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด (ฉบับที่4) พ.ศ.2506 ให้ไว้ ณ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2506 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 80 ตอนที่ 11 ฉบับพิเศษ หน้า 13 ลงวันที่ 29 มกราคม 2506 โดยยกเลิกความที่ว่าด้วยประเภทรายจ่ายขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในมาตรา 41 ของพระราชบัญญัติเดิม และให้ใช้ความใหม่แทนซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน
ครั้งที่ 4 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราการส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. 2509 ให้ไว้ ณ วันที่ 9 กันยายน 2509 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 83 ตอนที่ 79 ฉบับพิเศษ หน้า 22 ลงวันที่ 16 กันยายน 2509 โดยปรับปรุงแก้ไขความที่ว่าการบริหารบุคคลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในมาตรา 40

 

ยุคก่อกำเนิด...นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (พ.ศ. 2540 - ปัจจุบัน)

เนื่องจาก พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 ได้ประกาศใช้มาเป็นเวลานานไม่เคยมีการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับการปกครองส่วนท้องถิ่น อีกทั้งยังกำหนดให้มีการเลือกตั้งประธานสภาจังหวัดใหม่ทุกปี ทำให้เกิดการแข่งขันกันจนนำไปสู่การแตกแยกซึ่งทำให้ไม่สามารถดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2538 ทำให้สภาตำบลทุกแห่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล และตำบลที่มีรายได้เฉลี่ยย้อนหลังสามปี 150,000.- บาท ขึ้นไปจะถูกยกฐานะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งเป็นหน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้เกิดผลกระทบกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 คือ ความซ้ำซ้อนในเรื่องของพื้นที่ ความซ้ำซ้อนในเรื่องของอำนาจหน้าที่และความซ้ำซ้อนในเรื่องของรายได้

ผลกระทบดังกล่าวทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของบรรดาสมาชิกสภาจังหวัดในทั่วประเทศขึ้นเป็นระยะ และเป็นรูปธรรมมากขึ้นเมื่อได้มีการจัดประชุมใหญ่ขึ้น ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 26-27 พฤษภาคม 2539 โดยได้มีการจัดตั้ง “สหพันธ์สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทย” ขึ้น เพื่อดำเนินการเรียกร้องให้ทางรัฐบาลออกพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขึ้นมาบังคับใช้โดยเร็ว ในที่สุดก็ได้มีการตราพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ขึ้นบังคับใช้ โดยประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 114 ตอนที่ 62ก ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2540 และมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 โดยมีสาระสำคัญคือให้สมาชิกสภาจังหวัดเลือกสมาชิกคนใดคนหนึ่งเป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทำหน้าที่หัวหน้าในฝ่ายบริหาร และให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแต่งตั้งสมาชิกสภาจังหวัดอีกสองคน เป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ส่วนในฝ่ายนิติบัญญัติก็ยังกำหนดให้สมาชิกสภาจังหวัดเลือกสมาชิกคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทำหน้าที่เป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติและเลือกสมาชิกสภาจังหวัดอีกสองคนทำหน้าที่รองประธานสภานิติบัญญัติ เหมือนเดิม โดยได้กำหนดอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เอาไว้อย่างเป็นรูปธรรมใน หมวด 4 มาตรา 45

โดยเหตุผลของการตราพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดขึ้นมาใช้นั้น ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติฉบับนี้ระบุว่า "โดยที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดที่จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 เป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นที่รับผิดชอบใน พื้นที่ทั้งจังหวัดที่อยู่นอกเขตสุขาภิบาล และ เทศบาล เมื่อได้มีพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล ในการนี้สมควร ปรับปรุงบทบาทและอำนาจหน้าที่ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้สอดคล้องกัน และปรับปรุงโครงสร้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น"

นอกจากเหตุผลของพระราชบัญญัติแล้ว จากบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ....... ครั้งที่ 2 วันที่ 13 มีนาคม 2540 ที่ประชุมได้ระบุประเด็นวัตถุประสงค์ของการออกพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ดังนี้
1. เพื่อจัดระบบบริหารให้มีประสิทธิภาพซึ่งปัจจุบันมีปัญหาด้านการบริหารการจัดการด้านพื้นที่ และรายได้ช้ำซ้อน
2. เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยน ตามการเปลี่ยนแปลงของการเมืองการปกครองท้องถิ่น ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการขยายความเจริญเติบโตของแต่ละท้องถิ่น
3. เพื่อเป็นการถ่ายโอนอำนาจการปกครองส่วนภูมิภาคมาสู่ท้องถิ่น โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดทำหน้าที่ในการ ประสานกับองค์กรปกครองท้องถิ่น การประสานกับรัฐบาลและตัวแทนหน่วยงานของรัฐการถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณที่เคยอยู่ใน ภูมิภาคไปอยู่ในองค์การบริหารส่วนจังหวัด
4. เพื่อเป็นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากยิ่งขึ้น โดยจะเพิ่มอิสระให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดมากขึ้นด้วย โดยการลดการกำกับดูแลจากส่วนกลางลง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540หมวดที่ 9 มาตรา 284 ได้กำหนดให้มีกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นมาใช้ ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการตรา พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542ขึ้นมาบังคับใช้เพื่อถ่ายโอนภารกิจต่าง ๆ จากหน่วยงานในราชการส่วนภูมิภาคให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้กำหนดอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ไว้ในหมวด 2 มาตรา 17 และในวันที่ 13 สิงหาคม 2546 ได้มี ประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ถือปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้

 

ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 (ฉบับที่ 3) โดยมีสาระสำคัญ คือ

ฝ่ายบริหาร
ได้มีการกำหนดให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มาจากการเลือกตั้ง โดยตรงจากประชาชนทั้งจังหวัด มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี โดย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สามารถแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จากบุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อช่วยเหลือในการบริหารงานตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
1. ในกรณีที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดใดมีสมาชิกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสี่สิบแปดคน ให้มีรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้สี่คน
2. ในกรณีที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดใดมีสมาชิกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสามสิบหกหรือสี่สิบสองคน ให้มีรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้สามคน
3. ในกรณีที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดใดมีสมาชิกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยี่สิบสี่หรือสามสิบคน ให้มีรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้สองคน

นอกจากนั้นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ยังสามารถแต่งตั้งเลขานุการและที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลือในการบริหารงานได้รวมกันไม่เกินห้าคน

ฝ่ายนิติบัญญัติ
ให้แบ่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งเขตละหนึ่งคน โดยใช้เกณฑ์ของราษฎรแต่ละจังหวัด ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรในปีสุดท้ายก่อนที่มีการเลือกตั้ง ดังนี้
1. จังหวัดใดที่มีราษฎรไม่เกินห้าแสนคนให้มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ยี่สิบสี่คนประชากรไม่เกิน 200,000 คน มีสมาชิกสภาจังหวัดได้ 18 คน
2. จังหวัดใดที่มีราษฎรไม่เกินห้าแสนคนแต่ไม่เกินหนึ่งล้านคน ให้มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้สามสิบคน
3. จังหวัดใดที่มีราษฎรเกินหนึ่งล้านคนแต่ไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนคน ให้มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้สามสิบหกคน
4. จังหวัดใดที่มีราษฎรเกินหนึ่งล้านห้าแสนคนแต่ไม่เกินสองล้านคน ให้มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้สี่สิบสองคน
5. จังหวัดใดที่มีราษฎรเกินสองล้านคนขึ้นไป ให้มีสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้สี่สิบแปดคน

หลังจากที่ พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) ประกาศใช้ ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 14 มีนาคม 2547 และนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คณะกรรมการเลือกตั้ง ได้เข้ามาเป็นผู้ดำเนินการกระทรวงมหาดไทยในการจัดการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๕ โดยได้นำเอาระบบใบเหลืองใบแดง มาใช้กับผู้ที่ทุจริตการเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้หลายเขตเลือกตั้งต้องมีการเลือกตั้งใหม่ จนกว่าจะได้รับการับรองผลการเลือกตั้งจากคณะกรรมการเลือกตั้ง

กล่าวโดยสรุป องค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้มีการวิวัฒนาการโดยผ่านกระบวนการปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ มาเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัด มีภารกิจครอบคลุมพื้นที่จังหวัด ตามบทบัญญัติของกฎหมายคือ
1. อำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2546 หมวด 4 มาตรา 45
2. อำนาจหน้าที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดในการจัดระบบบริหารสาธารณะตามพระราช บัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 หมวด 2 มาตรา 17
3. ประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเรื่อง การกำหนดอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2546 ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้

 

องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ


สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษเดิมนั้น ตั้งอยู่ภายในอำเภอเมืองศรีสะเกษ บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ตั้งกับอาคารศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ ต่อมา องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ก็ได้ก่อสร้างสำนักงานอาคารหลังใหม่ 3 ชั้น ปัจจุบันสำนักงานองค์การบริการส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งอยู่เลขที่ 350 หมู่ที่ 3 ตำบลหนองไผ่ ถนนเลี่ยงเมือง อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ  โทรศัพท์ 0 4581 4676  โทรสาร 0 4581 4677 

โดยแบ่งส่วนราชการออกเป็น สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด  สำนักงานเลขานุการองค์การบริหารส่วนจังหวัด สำนักคลัง สำนักช่าง กองสาธารณสุข กองยุทธศาสตร์และงบประมาณ กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กองการเจ้าหน้าที่ หน่วยตรวจสอบภายใน และมีโรงเรียนในสังกัด จำนวน 39 โรงเรียน 

โครงสร้างองค์กร คลิก

 

 

ตราสัญลักษณ์

ITA การวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ศูนย์ข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ของราชการ อบจ.ศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ

รวมลิงค์

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์

วันนี้ :
991
สัปดาห์นี้ :
6,309
เดือนนี้ :
25,243
ทั้งหมด :
613,910

การสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการ

ช่องทางการติดต่อ/สอบถามข้อมูล (Q&A)

องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ
Sisaket Provincial Administrative Orgnization
350 หมู่ 3 ตำบลหนองไผ่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ 33000
โทรศัพท์ : 045-814676 โทรสาร : 045-814677 ต่อ 0 Email : [email protected]